เมื่อพูดถึงจักรวรรดิโรมัน หนึ่งในชื่อที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุด และมักถูกมองว่าเป็น “จักรพรรดิบ้า” หรือ “ผู้จุดไฟเผาเมือง” คงหนีไม่พ้น จักรพรรดิเนโร (Nero) เขาคือหนึ่งในจักรพรรดิที่สร้างทั้งความหวาดกลัว ความโกลาหล และความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลให้กับประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิโรมัน
จุดเริ่มต้นของจักรพรรดิผู้มากด้วยความทะเยอทะยาน
เนโร มีชื่อเต็มว่า Nero Claudius Caesar Augustus Germanicus เกิดเมื่อปี ค.ศ. 37 เขาเป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิเคลาดิอุส และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิเมื่ออายุเพียง 17 ปี หลังจากเคลาดิอุสสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ช่วงแรกของการครองราชย์ เนโรได้รับความนิยมจากประชาชน เนื่องจากเขามีนโยบายลดภาษี สนับสนุนกีฬาและศิลปวัฒนธรรม และพยายามสร้างภาพลักษณ์ของจักรพรรดิที่ใกล้ชิดกับชาวโรมัน
แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์นั้น…คือความทะเยอทะยานอย่างรุนแรง และความปรารถนาจะเป็นที่ยอมรับในฐานะศิลปินมากกว่าผู้ปกครอง
เนโร: จักรพรรดิหรือศิลปินผู้หลงตัวเอง?
ต่างจากจักรพรรดิคนก่อนหน้า เนโรหลงใหลใน ดนตรี การแสดง และศิลปะ เขามักจะจัดการแสดง ร้องเพลง และเล่นพิณต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าไม่เหมาะสมสำหรับจักรพรรดิ เพราะชาวโรมันคาดหวังให้จักรพรรดิเป็นนักรบและผู้นำ ไม่ใช่นักแสดง
เนโรกลับรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถทางศิลปะของตน เขาถึงขั้นบังคับให้ชนชั้นสูงและประชาชนต้องเข้าร่วมฟังการแสดงของเขา และผู้คนก็ไม่มีสิทธิ์ออกจากสถานที่แสดงจนกว่าจะจบ บางบันทึกกล่าวว่ามีคนแกล้งตายหรือคลอดลูกกลางโรงละครเพื่อหนีออกมาเลยทีเดียว
เพลิงไหม้ครั้งใหญ่แห่งกรุงโรม
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เนโรกลายเป็น “จักรพรรดิในตำนาน (ด้านลบ)” ก็คือ เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่แห่งกรุงโรม ในปี ค.ศ. 64 เพลิงได้ลุกลามเป็นเวลานานถึง 6 วัน 7 คืน เผาผลาญบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างไปเกือบ 2 ใน 3 ของเมือง
ตำนานเล่าว่าในคืนที่กรุงโรมกำลังลุกเป็นไฟ เนโรกลับยืนอยู่บนระเบียงพระราชวัง มองเมืองที่กำลังไหม้อย่างเพลิดเพลิน พร้อมเล่นพิณและร้องเพลง ภาพนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดเหี้ยมและความเพี้ยนของจักรพรรดิผู้นี้
แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเนโรเป็นผู้จุดไฟเผาเอง แต่สิ่งที่เขาทำหลังจากนั้นคือ การกล่าวโทษคริสเตียน ว่าเป็นผู้ก่อเหตุ และเริ่มต้นการกวาดล้างและทรมานคริสเตียนครั้งใหญ่ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ศาสนา
การสร้างกรุงโรมใหม่ และพระราชวังทองคำ
หลังเหตุไฟไหม้ เนโรใช้โอกาสนี้สร้างกรุงโรมขึ้นใหม่ตามแบบที่เขาต้องการ เขาสร้างพระราชวังที่ยิ่งใหญ่อลังการชื่อว่า Domus Aurea (พระราชวังทองคำ) มีสวนขนาดมหึมา สระน้ำ และรูปปั้นของเขาสูงกว่า 30 เมตร ทำให้ประชาชนไม่พอใจอย่างมาก เพราะรู้สึกว่าเนโรใช้โศกนาฏกรรมเพื่อสนองตัณหาและความยิ่งใหญ่ของตนเอง
จุดจบของจักรพรรดิผู้คลั่ง
ในบั้นปลายรัชกาล เนโรเริ่มสูญเสียการสนับสนุนจากทั้งชนชั้นสูง กองทัพ และประชาชน การก่อกบฏเกิดขึ้นทั่วจักรวรรดิ จนในที่สุด วุฒิสภาประกาศให้เขาเป็นศัตรูของรัฐ (Hostis Publicus) เนโรหนีออกจากกรุงโรมและจบชีวิตลงด้วยการปลิดชีพตนเองในปี ค.ศ. 68 ขณะอายุเพียง 30 ปี
ก่อนตาย เขาได้กล่าวประโยคสุดท้ายที่เป็นตำนานว่า
“Qualis artifex pereo” — “ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่...ต้องตายไปแล้วเช่นนี้หรือ”
มรดกและภาพจำของเนโร
แม้เนโรจะถูกจดจำในแง่ลบเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาก็เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ยุคโรมัน ความขัดแย้งระหว่าง “อำนาจจักรพรรดิ” และ “ความเป็นศิลปิน” ของเขาได้สร้างตำนานที่ผู้คนยังพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้
เนโรจึงไม่ใช่แค่จักรพรรดิผู้คลั่งเท่านั้น…แต่เป็นสัญลักษณ์ของความสุดโต่ง ความทะเยอทะยาน และด้านมืดของอำนาจที่ทำให้จักรวรรดิโรมันต้องเปลี่ยนแปลงตลอดกาล
🔥หากคุณชอบเรื่องราวแนว ประวัติศาสตร์ และ ความลึกลับของจักรวรรดิโรมัน อย่าพลาดเรื่องราวของ เนโร (Nero) จักรพรรดิผู้บ้าคลั่ง ผู้ยืนมองกรุงโรมลุกเป็นไฟ 🔥
ไปดูเต็ม ๆ ได้ที่ช่องของเรา! คลิปนี้จะพาคุณย้อนกลับไปสู่ ยุคโรมันโบราณ และเผยความลับสุดช็อกที่โลกไม่ลืม